Uncry Beethoven - Uncry Beethoven นิยาย Uncry Beethoven : Dek-D.com - Writer

    Uncry Beethoven

    ใครที่แอนตี้ดนตรีคลาลสิกว่าเป็นดนตรีไฮโซ มาอ่านประวัติบีโทเฟ่นซะว่า"กำเจ็ง"แค่ไหน (เป็นเรื่องแต่งที่อิงประวิติศาสตร์ อย่าจริงจังๆ)

    ผู้เข้าชมรวม

    734

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    734

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  17 ต.ค. 50 / 13:45 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


      แด่ความเหน็บหนาวบนห้องใต้หลังคา
                    ฉันมักผวาตื่นขึ้นในยามดึกเมื่อเสียงกระแทกประตูดังขึ้น ชายที่เราทั้งสามต่างก็สาปแช่ง ชายที่เราทั้งสามเรียกว่า “เคโรเบรอส” เสียงฝีเท้าของมันลุกล้ำเข้ามาในจิตใจของพวกเราด้วยความหยาบช้า  มันตรงเข้าจิกหัว ลาก กรนด่าพี่และทารุณกรรมต่างๆนานา เสียงร้องที่เหือดแห้งถูกเค้นออกจากลำคอ มันกระแทกร่างพี่ไปตามบันได ขั้นแล้วขั้นเล่า เสียงกรีดร้องของพี่ก็ยิ่งมากขึ้น ฉันและน้องได้แต่ขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มเงี่ยหูฟังดนตรีจากคีย์บอร์ดที่ระคนไปด้วยเสียงกรีดร้อง และเสียงไม้หวดกระหน่ำตีไปทั่วร่างพี่ เหตุใดพี่ถึงยังยิ้มให้กับเทพีแห่งมิวส์ได้ นั้นคือสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจ
       ฉันมักแอบมองพี่ผ่านราวบันไดอยู่เสมอๆ ภาพพ่อกับขวดเหล้าเป็นภาพที่พวกเราเห็นจนเจนตา ดวงตาแดงกร่ำและลมหายใจเหม็นเหล้า เขาใช้มือหนากระฉากร่างพี่ลอยขึ้นจากพื้นจับนั่งที่คีย์บอร์ดและกดหัวพี่จมลงกับโน้ตเพลงทั้งวันทั้งคืน ด้วยวัยเพียง 4 ขวบ พี่มักร้องไห้และถีบเก้าอี้หนีจากฝันร้ายที่ทุกคนยกย่อง ความพยายามนั้นไม่เคยสำเร็จเพราะพี่เป็นเหมือนเหมืองทองสำหรับพ่อ 
       เมื่อเราทั้งสามคนรวมตัวกัน ในวันหยุด(วันที่พ่อเมาจนไม่ได้สติและไม่มีแรงแม้แต่จะกระดิกนิ้ว) ฉันและน้องมักรวมหัวกันแสร้งคิดเลขไม่เป็น “พี่สอนหน่อย” “พี่คิดยังไง” นี่คือสิ่งที่เราทั้งสองคะยันคะยอ เสียงหัวเราะคิกคักของฉันตรงมุมห้อง ไกลพอที่พี่จะไม่ได้ยิน เมื่อเห็นพี่ง่วนอยู่กับการคิดเลข พี่คิดเลข18คูณ10 โดยการนำ 18 มาบวกกัน 10 ครั้ง
        พวกเรามักจินตนาการถึงทุ่งหญ้าเขียวขจี เนินเขาเตี้ยๆ และแสงแดดสดใส ไม่แน่ว่าริมฝั่งแม่น้ำไรน์อาจเป็นที่อยู่ของบรรดานิฟท์และพวกเอลฟ์ พี่มักเล่าถึงสมบัติของคนแคระในเหมือง มังกรที่หลับอยู่ในถ้ำและนักผจญภัยที่พยายามเข้าไปขโมยสมบัติ ความฝันและการผจญภัยของพวกเราล่องลอยอยู่ในห้องใต้หลังคาทุกครั้งยามหลับตา
        เพื่อนบ้านมักเรียกพวกเราว่า “ไอ้สเปน” พวกเขาว่าแม้เห็นท้ายหมู่บ้านก็รู้ว่าเป็นพวกเรา ผมเผ้ายุ่งเหยิง เนื้อตัวดำๆและเสื้อผ้าสกปรก พวกเด็กๆในหมู่บ้านมักเต้นไปรอบๆพวกเราและร้องเพลงล้อเลียนอย่างสนุกปาก อย่างไรก็ตาม ศจ. Muller ผู้เป็นเตาผิงในดวงใจของพี่ มักดูแลพี่เป็นอย่างดี เขาบอกกับพวกเราว่า พี่เป็นเด็กขี้อาย สงบเสงี่ยม มักสังเกตสีหน้าของคนอื่นมากกว่าพูด และที่สำคัญ สิ่งที่นักดนตรีหางแถวไม่มี วิญญาณของพี่เป็นหนึ่งเดียวกับดนตรี
      แด่เมฆหมอกที่จางหายยามอรุณรุ่ง
       ที่อายุ 9 ขวบพี่มีนิ้วยาวพอที่จะเล่นเพลงยากๆที่เคยแต่งไว้สมัยเด็ก ผู้คนในหมู่บ้านมักแอบอยู่ริมหน้าต่างเพื่อหวังให้ดนตรีของพี่เล็ดลอดออกไปให้เขาได้ฟังบาง และวันหนึ่งขณะที่พี่กำลังง่วนอยู่กับการดีดคีย์บอร์ด ชายผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าพี่ ชายผู้เปี่ยมด้วยความปรานี และไม่มีใครรู้ อย่างน้อยก็ในเวลานั้น ว่าเขาคือชายที่จะพลิกชะตาของพี่ไปตลอดกาล ครีสเตียน นีฟ เปิดเผยให้พี่เห็นปรัชญาของดนตรีและชีวิตเพื่อให้เด็กชายผู้หว้าเหว่ สิ้นหวังได้พบกับมิตรภาพอันแท้จริงและยิ่งใหญ่ เขาให้พี่ศึกษาเพลงของบ้าค อัครศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคบารอค เพื่อให้พี่ซึมซับถึงความสุขของการเล่นดนตรี ฉันอาจจะตาฝาดหรือฝันกลางวันไปเอง แต่ฉันไม่เคยเห็นรอยยิ้มอันสดใสและเป็นสงบสุขของพี่เช่นนี้เลย  นีฟคือชายผู้ใช้เสียงดนตรีอันจริงใจปลูกดอกไม้ในใจของพี่
       นีฟมักมีงานหนักในฐานะนักดนตรีของราชสำนัก เขาจึงให้พี่เล่นออร์แกนหรือคีย์บอร์ดในวงออร์เคสตร้าแทนเขาบ่อยๆ นักดนตรีบางคนที่ไม่มั่นใจในการเล่นของตน จึงมาขอคำปรึกษาจากพี่อยู่เป็นนิตย์ ความสามารถของพี่โดดเด่นและเป็นที่ประจักษ์จนนีฟไม่ลังเลที่จะแนะนำพี่ให้เป็นนักออร์แกนประจำราชสำนัก แม้เงินเดือนจะเล็กน้อยแต่ด้วยวัยเพียง 13 ปี พี่ถือว่าเป็นวีรบุรุษในดวงใจของพวกเราและคนในหมู่บ้าน
       จากนั้นไม่นานเสียงเพรียกหาจากเวียนนาได้ชักนำพี่ไป มนต์ตราแห่งดนตรีนครเร่งรัดให้พี่เดินทางไปหาโมสาร์ท ที่เวลานั้นถูกเรียกขานว่าเป็นคีตกวีแห่งยุค และเริ่มบรรเลงเพลงที่พี่แต่งเองให้เขาฟัง แต่โมสาร์ทที่ถูกเรียกออกจากกลุ่มเพื่อเพื่อมาฟังเด็กผมยุ่งหน้าตามอมแมมไม่มีใครรู้จักจากบอนน์เล่นดนตรี ไม่รู้สึกประทับใจในดนตรีของพี่ซักเท่าไหร่ เขากำลังหันหลังและย่างเท้าหลีกไป ในขณะที่พี่ขว้าข้อแขนเขาไว้ด้วยแววตาที่ส่องประกาย พี่ขอร้องให้เขาเลือกดนตรีดั้งเดิม (ดนตรีที่ใครๆก็รู้จัก) เพื่อที่จะเล่นพลิกแพลงให้เขาดู โมสาร์ทยิ้มอย่างเย้อหยันและเลือกหยิบกระดาษโน้ตที่ยากและมีเมโลดี้ซับซ้อนยิ่งขึ้นจากกระเป๋าส่งให้พี่อย่าง “เด็กคนนี้ไม่มีทางเล่นได้” เขาคงคิดเช่นนั้น และหารู้ไม่ว่าความคิดของเขานั้นช่างเหลวไหลสิ้นดี เสียงดนตรีที่พลิ้วไหว และลึกลับเปล่งประกายผ่านการเล่นอันมหัศจรรย์ของพี่ โมสาร์ททึ่งในความสามารถของพี่ถึงกับหายใจสะอึกเฮือกใหญ่ เขายิ้มน้อยๆและเดินกลับไปนั่งในกลุ่มเพื่อนพร้อมกับกล่าวว่า “จับตาดูหนุ่มนั้นให้ดี วันหนึ่งโลกจะได้ฟังดนตรีจากเขา!”

      แด่ฝนที่โปรยปรายในคืนมรสุม

       ในคืนฟ้ารั่วคืนหนึ่ง อาการของแม่ไม่สู้ดีนัก หน้าซีดขาวเหมือนกระดาษ ผมหลุดล่วงดาษเต็มเตียง แม่ร่ำแต่จะหาพี่คนเดียว ฉันได้แต่ภาวนาว่าจดหมายด่วนจะไปถึงพี่เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ และแล้วพี่ก็มา แม้จะเป็นคืนที่มีพายุหนักอีกคืนหนึ่ง พี่วิ่งเข้าสวมกอดแม่ผู้กำลังจะจากโลกนี้ไปอย่างเศร้าโศก แม่ยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตาจากแก้พี่และกระซิบข้างหูของพี่  “แม่รักลูกเสมอ ลูกรัก” มือที่จับแก้มพี่พล่อยลงพร้อมกับเสียงร้องไห้ของพี่ดังสะอื้นอยู่เงียบๆ ความเศร้าอันไม่อาจเอยถูกส่งผ่านมาที่เราสามพี่น้องเสมอกัน เช้าวันรุ่งขึ้นพ่อเอาเสื้อผ้าของแม่ไปขายในตลาดเพื่อแลกกับเงินเล็กน้อย พี่ยอมสาบานเป็นข้ารับใช้ของพ่อหากแต่มันสามารถแลกกับเสื้อผ้าพวกนั้นได้ การตกลงไม่สำเร็จ เสื้อผ้าของแม่ถูกขายให้พ่อค้าหาบเร่เพื่อเป็นผ้าขี้ริ้วหรือผ้าเช็ดเท้า พวกเราต้องอดทนกับความอัปยศยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อการตายของแม่ไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงอะไร พ่อนำเงินที่ได้จากการขายเสื้อผ้ามากดความทุกข์ลงในร้านเหล้าเหมือนดังเดิม
       พี่ต้องกลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อหาเลี้ยงพวกเรารวมทั้งพ่อขี้เมา ของที่พอมีค่าทุกชิ้นในบ้านถูกนำไปจำนำเพื่อนำมาใช้จ่ายภายในบ้าน เงินเดือนของพ่อหลังหักค่าเหล้าและรายได้ต่ำของพี่ไม่พอเลี้ยงครอบครัวเรา ที่สุดแล้วพี่ขอให้นายจ้างของพ่อหักเงินเดือนครึ่งนึงมาเลี้ยงพวกเราก่อน
       ตั้งแต่วันที่แม่ตายไปพวกเราไม่ได้เห็นรอยยิ้มหรือคำพูดหยอกล้อของพี่เหมือนแต่ก่อน ความฝันที่ต้องการเป็นนักดนตรีที่ยิ่งใหญ่ของพี่ต้องพังทลายลง ไม่ใช่เพราะไร้สามารถ แต่เพราะโชคชะตาอันโหดร้าย พี่ออกสอนดนตรี เล่นวิโอล่าในวงออร์เคสต้าเล็กๆแห่งบอนน์และเขียนดนตรีที่ดูเหมือนจะไม่มีใครแยแสต่อไปด้วยความหมดหวัง   
       หากแต่เพชรเมื่อไหร่ก็คงเป็นเพชร เศรษฐีจากแดนไกลประทับใจในเสียงเปียโนของพี่อย่างยากจะถอนตัวขึ้น เขาอุปถัมภ์การเงิน เปียโนและคำแนะนำที่ดี เพื่อขัดเกลาให้พี่เป็นผู้ดีในสังคมชั้นสูง การ ”อิมโพรไวเซชั่น” (การเล่นดนตรีใหม่สดที่ไม่มีอยู่ในโน้ต)ของพี่ ทำให้เยอรมันต้องตื่นตนกกับเทคนิคอัศจรรย์ที่บังเกิดจากเด็กหนุ่มอายุเพียง 22 ปี
       เมื่อหิมะละลายและแสงแดดอันอบอุ่นของปี 1792 มาเยือนบอนน์ เทพีแห่งโชคชะตายิ้มให้พี่เมื่อ  ไฮดิน นักดนตรีอาวุโสผู้มีฝีมือฉกาจพอกับโมสาร์ทได้เดินทางจากลอนดอนสู่เวียนนา โดยระหว่างทางได้แวะพักที่บอนน์ก่อนสองสามวัน สองสามวันแห่งโชค ไฮดินได้มีโอกาสเห็นงานประพันธ์ของพี่และตะลึงกับมัน แม้มันยังไม่สมบูรณ์ดี แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะดึงดูดไฮดินให้เรียกตัวพี่ไปที่เวียนนาและสัญญาว่าจะสอนดนตรีให้พี่ สามเดือนหลังจากนั้นพี่ออกเดินทาง เพื่อศึกษาดนตรีอย่างไม่มีกำหนด โดยได้รับเงินเดือนเต็มอัตราตามปกติ
       เวียนนาคือเมืองแห่งความฝันและจุดพลังให้แก่คนหนุ่ม พี่ตั้งใจเรียนกับไฮดินและหวังว่าซักวันจะเป็นที่ยอมรับในกรุงเวียนนา ข่าวการตายของพ่อที่พวกเราส่งไปให้พี่มิได้ทำให้พี่สะดุดเหมือนครั้งที่เกิดกับแม่ พี่ยังคงอดทนเรียนดนตรีต่อไปอย่างบากบั่น แต่โชคร้ายที่ไฮดีนพบว่าพี่มิใช่ศิษย์ที่จะเข้ากับการสอนของเขา ดนตรีที่เร่งร้อนและเอาแต่ใจของพี่ไม่สามารถเข้ากับดนตรีที่สุขุมและสุภาพอ่อนโยนของ      ไฮดินได้ พี่ออกหาครูดนตรีคนอื่นๆอย่างลับๆโดยไม่ให้ไฮดินรู้ แต่ในที่สุดไม่มีครูคนไหนสามารถสอนให้พี่ยอมรับและเล่นตามทฤษฎีดนตรีได้ ทุกคนต่างส่ายหน้าให้กับดนตรีที่ดื้อรั้นของพี่ ความคิดนอกกรอบไม่เป็นที่ยอมรับในเวียนนา นครที่เป็นรอยเท้าของประวัติศาสตร์ หลายปีต่อมา อัลเบริต์เบอร์เกอร์ ครูดนตรีคนหนึ่งของพี่ สังเกตว่าพี่ไม่ได้พัฒนาขึ้นเลยหลังจากที่เจอกันเมื่อ 4 ปีก่อน แต่อันที่จริงเขาไม่รู้หรอกว่าจะมีเด็กหนุ่มอายุ 20 ที่ไหนที่จะทนเรียนทฤษฎีซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อให้ตนมีพื้นฐานที่สมบูรณ์เพื่อจะก้าวต่อไปในวันข้างหน้า
       พี่ย่างก้าวออกจากห้องใต้หลังคาแคบๆไปสู่ราชสำนักอันโออ่าภายใต้การอุปถัมภ์ของผู้อุปการะคนใหม่ เจ้าชายริชนาวสกี้ จากเด็กหนุ่มบ้านนากลายเป็นนักเปียโนราชสำนัก การเดินทางของพี่เริ่มหอมหวานแต่ก็เคลือบไว้ด้วยความขม เวียนนายอมรับชายชื่อเปโธ่เฟนในฐานะนักเปียโนอนาคตไกล แต่ไม่ใช่ในฐานะนักประพันธ์ ชาวเวียนนายังคงเกลือกกลิ้งอยู่กับดนตรีของโมสาร์ท และไฮดีน อย่างยากจะลืมตาตื่น
       ในปี 1800 เวียนนาต้องปลดสะพานลงยอมจำนนให้กับความพยายามของพี่ เสน่ห์แห่งดนตรีที่พี่สร้างสรรค์ให้แก่กรุงเวียนนา ทำให้สำนักพิมพ์นานาแข่งขันกันชิงต้นฉบับผลงานของพี่
       กุหลาบแดงสดมีกลิ่นอันยั่วเย้าแต่แฝงไว้ด้วยหนามอันคมกริบ ช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ของพี่ถูกสั่นคลอนด้วยเคราะห์กรรมที่รุนแรง ที่ตู้หน้าบ้านฉันพบจดหมายของพี่ ซึ่งพวกเรารอคอยมานาน ถูกสอดไว้ กระดาษจดหมายดูเหมือนมีรอยคราบน้ำตาหลายแห่งซึ่งนั้นทำให้พวกเรากังวลและรีบเปิดออกดู “มันน่าอับอายเพียงใดที่คนที่ยืนข้างๆฉันได้ยินเสียงฟลูทดังมาแต่ไกล แต่ฉันไม่ได้ยินอะไรเลย ฉันหมดอาลัยตายอยาก ยิ่งกว่านั้นฉันได้กำหนดวาระสุดท้ายให้กับชีวิตตนเองไว้แล้ว” เราสองพี่น้องอ่านประโยคนี้พร้อมกับหลั่งน้ำตาออกมาพร้อมๆกัน พี่ผู้ซึ่งเข็มแข็งมาโดยตลอด บัดนี้กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่ตัวสั่นเทาอยู่ในห้องมืดรอเวลาที่เพชรฆาตจะนำตัวไปปั่นคอ “แต่ศิลปะเท่านั้นที่รั้งฉันไว้ ราวกับว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะจากโลกนี้ไปโดยที่ยังไม่ได้ถ่ายทอดทุกสิ่งที่ฉันรู้สึกแก่โลกใบนี้ ด้วยเหตุนี้ฉันจึงยังไม่ประหารชีวิตอันบัดซบนี้”  
       ด้วยการกัดฟันสู้อย่างกล้าหาญ ตลอด 10 ปีที่ผ่านไป(ตั้งแต่ปี 1800 – 1810) พี่ได้ผลิตผลงานที่เวียนนาจะต้องตราตรึงอยู่ในใจไปอีกนานเท่านาน หนึ่งในนั้นคือ มูนไลท์โซนาต้า ซึ่งฉันเดาว่ามันคงเป็นความประทับในแสงจันทร์ประสานกับความผิดหวังจากคนรักคนแรก (มักดาเลนา หญิงที่เบโธ่เฟนขอแต่งงานเป็นคนแรกแต่ถูกเธอปฎิเสธ ด้วยเหตุผลว่า “เขาน่ากลัวจะตาย และบ๊องๆ”) แม้จะเริ่มหูหนวกใหม่แต่พี่กลับมีอารมณ์ขันและพูดคุยตลกได้อย่างเป็นกันเองมากเสียกว่าแต่ก่อน
       ในปี 1813 พี่ส่งจดหมายมาบอกถึงความเป็นอยู่ที่เวียนนา ความตึงเครียดของสงครามนโปเลียนทำให้ฐานะของพี่ไม่ดีดั่งเดิม พี่ไม่สามารถออกจากบ้านได้เพราะไม่มีเสื้อเชิ้ตใส่และไม่มีรองเท้า
       
      แด่ตะวันที่กำลังจะลับฟ้า

                      พี่มีชีวิตโดดเดี่ยวในยามบั่นปลายอยู่ดูแลหลานที่เป็นกำพร้า และต้องการกลับเวียนนาอย่างมาก แม้ฉันจะปฎิเสธโดยอ้างเหตุผลเรื่องความปลอดภัยแต่พี่ก็แอบขึ้นรถขนนมหนีไปในยามค่ำคืน เมื่อถึงเวียนนาพี่เป็นโรคไข้หวัดรุนแรงกอปรกับสุขภาพที่ไม่ดีอยู่แล้วทำให้อาการทรุดหนัก ร่างกายของพี่บวมเพราะน้ำและต้องเชิญหมอมาผ่าเอาน้ำออกถึง 4 ครั้งในขณะที่นอนอยู่บนเตียง พวกเราใจเสียและภรรยาของฉันเริ่มร้องไห้แต่พี่กลับยิ้มได้อย่างสบายใจและหยอกล้อกับหมอว่า “หมอต้องเป็นโมเสลแน่ๆ ถึงได้เสกน้ำออกจากก้อนหินได้” (ในคัมภีร์ไบเบิ้ล โมเสลใช้ไม้เท้าเสกน้ำออกจากก้อนหิน)  ในวันที่ 26 มี.ค. 1827 เป็นเช้าที่ฟ้ามืดหม่น อาการของพี่ไม่ดีนัก หน้าของพี่ทำให้ฉันย้อนนึกไปถึงแม่ที่กำลังจะตาย เหมือนกระดาษ ผมคิด ในตอนบ่ายวันนั้น ฉัน ผู้กำลังจะผลอยหลับไปเพราะความอ่อนเพลียต้องสะดุ้งโหยง สายฟ้าผ่าลงใกล้ๆนี้เอง มีคนโดนผ่าตายหรือเปล่า ผมยืนอยู่ที่หน้าต่างและพยายามมองว่าสายฟ้าผ่าไปที่ใด ฉับพลันเสียงครวญครางของพี่ก็ดังขึ้นที่เตียง บุรุษผู้นอนอยู่อย่างไม่ได้สติลืมตาขึ้น เขาชูมือขวาที่กำแน่นขึ้นชั่วขณะ ในตอนนั้นสายตาของพี่ช่างสงบสุขและใสซื่อเหมือนดั่งเด็กทารก ใบหน้าเปล่งปลั่งเหมือนสลัดความทุกข์และอาการเจ็บป่วยไปได้หมดสิ้น เวลานั้นหัวใจของพี่ได้หยุดการทำงานอันยาวนานของมันตลอด 57 ปีลงอย่างเงียบเฉียบ พี่ลดมือลงประสานที่หน้าอก หลับตาพริ้มและไม่เคยลืมตาขึ้นมาอีกเลย  
       พิธีฝังศพพี่จัดขึ้นในอีก 3 วันถัดมา ผู้คนกว่า 2 หมื่นคนที่หน้าบ้านและอีกมากมายที่สุสานพากันออกมาเดินขบวนและโรงเรียนในเวียนนาต้องหยุดเพื่อเป็นการไว้อาลัย แต่ฉันรู้ว่านั้นไม่ใช่เกียติสูงสุดที่พี้องการหรอก
      สิ่งที่พี่ต้องการคือ เด็กผู้ชายตัวเล็กๆที่มีใจรักในเสียงดนตรีสามารถฮัมเพลงของพี่ได้ในขณะที่กำลังปิคนิกกับครอบครัวได้ก็เท่านั้นเอง

      R.I.P (rest in peace) Ludwig Van Beethoven

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×